งานที่ 3
1. มนุษยสัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญต่อองค์การอย่างไร
มนุษยสัมพันธ์ คือ ความสำคัญระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้มี 2 ลักษณะคือ มนุษยสัมพันธ์อันดีและมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี จึงมีความสำคัญต่อองค์การ คือ ถ้ามนุษย์มีมนุษยสัมพันธ์อันดีบุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกันและกันมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงาน ช่วยเหลือแบ่งปันและให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามนุษยสัมพันธ์ไม่ดีบุคคลในองค์การนั้นหรือสังคมนั้นก็มักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกันไม่ร่วมมือกัน ต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือกลุ่มสังคมนั้นๆ เสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุขและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆ ไม่มากก็น้อยจึงทำให้มนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญต่อองค์การเป็นอย่างมาก
2. กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะที่ดี คือ
1. มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย คือ บุคคลส่วนใหญ่มักต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกซึ่งการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยจะสนองความต้องการนี้ได้ โดยที่ทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียงในการแสดงวามคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติของเสียงส่วนใหญ่
2. มีความไว้วางใจและเชื่อในความสามารถซึ่งกันและกัน คือ บุคคลทั่วไปมักต้องการความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น ดังนั้นการทำงานร่วมกันทุกคนต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่เข้าไปก้าวกายถ้าเขาไม่ขอความช่วยเหลือ ถ้าก้าวกายเกินหน้าที่มักก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งสร้างผลเสียต่องานมากกว่าผลดี
3. มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน คือ มนุษย์ทุกคนมักต้องการความชัดเจนในงานและต้องการความสบายใจในการอยู่ร่วมกันด้วย ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ดีนอกจากช่วยสร้างความเข้าใจในงานแล้วยังช่วยเริมสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ในกลุ่มทำงานที่ดีนั้นมักใช้การสื่อสารสองทางหรือหลายทางมากกว่าการสื่อสารทางเดียว คือให้มีการตอบโต้ อภิปราย แสดงความคิดเห็น หรือซักถามข้อสงสัยร่วมกันมากกว่าที่จะรับคำสั่งหรือรับฟังความคิดอยู่ข้างเดียว ขณะเดียวกันในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียนก็ให้เป็นไปตามทางสร้างสรรค์ให้เกิดผลดีต่อกันและกัน
4. มีการช่วยเหลือกันและกันในขอบเขตที่เหมาะสม คือ ในการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อการเป็นผู้ให้ย่อมทำให้เกิดความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานจัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเป็นมิตร พึงพอใจและก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต้ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น ให้เมื่ออีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือให้โดยไม่มีผลกระทบในทางเสียหายในงานส่วนร่วม และไม่ว่าจะอยู่ในสถานะของผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ระดับเดียวกัน หรืผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ย่อมนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันโดยราบรื่นสงบสุข
5. มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ การทำงานหลายคนนั้น ถ้ามีทีมงาน (team work) ที่เหมาะสมมีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดีมักส่งผลให้งานสำเร็จ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6. มีการร่วมมือที่ดี คือ เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกัน แต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อได้รับความสำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จก็แสดงว่ากลุ่มนั้นมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับของนักจิตวิทยามากกว่าการแข่งขัน เนื่องจากในกระบวนการของการแข่งขันนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งได้อีกฝ่ายหนึ่งจะเสียแม้บางครั้งการแข่งขันอาจทำให้ผลงานของกลุ่มดีขึ้นแต่ในด้านของสัมพันธภาพมักเสียไป
7. ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะทีเอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ทีดี คือ ในการทำงานร่วมกัน ถ้าผู้ร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะบางประการที่เอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี เช่น สมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้นรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีการดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเอง คบคนง่าย มีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
3. แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
1) การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริง
2) การมองตนเองและผู้อื่นในทางที่ดี
3) การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี
3.1) ให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน
3.2) ยิ้มแย้ม
3.3) แสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ
3.4) เป็นคู่สนทนาที่ดี
3.5) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3.6) แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ
3.7) แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น แสดงได้หลายแนวทาง เช่น การเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ
3.8) แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องในโอกาสต่างๆ
4) การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
- ด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น การให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน การแสดงการจำได้ การเป็นคู่สนทนาที่ดี
4.1) สนใจ เอาใจใส่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ติดต่อสื่อสารด้วย
4.2) หลีกเลี่ยงการพูดพิงถึง”คน” เมื่อสนทนาเรื่องภายนอกตัว
4.3) ตั้งคำถามไม่เจาะจง - การตั้งคำถามเพื่อให้คู่สนทนาตอบโดยประเด็นคำถามพุ่งไปสู่คู่สนทนารู้สึกว่าเขากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากอีกฝ่ายหนึ่ง
4.4) ใช้คำถามเชิงอธิบายแทนการสั่งสอนหรือแนะนำ
4.5) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเมื่อพูดถึงสิ่งที่ดี
4.6) ใช้คำว่า”เรา” เมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นพวก
4.7) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง
4.8) ใช้สรรพนามบุรุษที่สอง-บุรุษที่หนึ่ง หรือ คุณ-ฉัน เมื่อต้องการแสดงความใกล้ชิด
4.9) ใช้คำว่า อย่างไร เมื่อต้องการข้อเท็จจริง
4.10) ใช้คำว่า ทำไม ให้เหมาะสมตามจุดประสงค์
4.11) ใช้วิธีสะท้อนความรู้สึกสะท้อนเนื้อหาคำพูดของคู่สนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจ
4.12) ใช้คำพูดเปิดเผยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจและพร้อมเป็นมิตร
4. การว่างตนตามสถานะและบทบาทในองค์การ แบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย
แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา
โดยผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและต้องเป็นผู้รับผิดชอบในงานที่ทำเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุและบทบาทหน้าที่โดยปฏิบัติดังนี้
- ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามควรแก่ฐานะ
- รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชาด้วยความสงบห้ามแสดงอารมณ์หรือโต้เถียง
- ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจและเต็มความสามารถ
- ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือคำสั่งขององค์กร
- เสนอข้อคิดเห็นโดยสุภาพอ่อนน้อมเมื่อผู้บังคับบัญชาถามความเห็น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม
- ห้ามบ่นเรื่องงานที่ยากลำบากเพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือแสดงถึงการขาดความอดทน
- ห้ามนินทาผู้บังคับบัญชาลับหลังถ้ามีปัญหาเรื่องงานเกิดขึ้น
- ห้ามการตอบรับหรือปฏิเสธตลอดเวลาควรให้เป็นไปด้วยเหตุ
- หลีกเลี่ยงการทำตัวแข็งต่อผู้บังคับบัญชา การเอาชนะหรือทำตัวเด่นกว่าผู้บังคับบัญชา
2. การวางตนในการทำงานกับผู้ร่วมงานหรือผู้อยู่ในระดับเดียวกัน
การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การดังนั้นการวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันจึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้มากที่สุดและปฏิบัติต่อกันมากที่สุด เช่น
- มองเพื่อนร่วมงานในแง่ดี ให้ความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือ
- ห้ามผลักภาระของตนไปให้เพื่อนร่วมงาน
- เมื่อมีปัญหาต้องพดคุยกัน
- หาโอกาสพบปะสังสรรค์ร่วมงานตามสมควร
- ห้ามแสดงอารมณ์เมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้น
- ห้ามทำตนเหนือเพื่อนร่วมงานหรือดูหมิ่นเหยียดหยาม
- ให้อภัย ให้โอกาสเมื่อเพื่อนร่วมงานปฏิบัติผิดพลาด
3. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา
ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อมาร่วมกันคือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรให้ความสำคัญ เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีอีกด้วย
- เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการส่งไปอบรม สัมมนา ค้นคว้าวิจัย
- ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการยกย่องตนเองว่าสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการจับผิดผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการแสดงความยากได้ หรือการเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีรายได้น้อยกว่าอยู่แล้ว
- รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทุกคนได้มาย่างไม่ลำบากและเป็นสุข
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น