วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

งานที่ 3

1. มนุษยสัมพันธ์มีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญต่อองค์การอย่างไร
มนุษยสัมพันธ์ คือ ความสำคัญระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มบุคคลในองค์การใดองค์การหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้องค์การนั้นหรือสังคมนั้นบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้มี 2 ลักษณะคือ มนุษยสัมพันธ์อันดีและมนุษยสัมพันธ์ไม่ดี จึงมีความสำคัญต่อองค์การ คือ ถ้ามนุษย์มีมนุษยสัมพันธ์อันดีบุคคลในองค์การหรือสังคมดังกล่าวก็จะมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกันและกันมีความเข้าใจอันดีต่อกัน ร่วมมือกันประสานงาน ช่วยเหลือแบ่งปันและให้อภัยต่อกัน แต่ถ้ามนุษยสัมพันธ์ไม่ดีบุคคลในองค์การนั้นหรือสังคมนั้นก็มักจะไม่ชอบพอกัน ขัดแย้งกันไม่ร่วมมือกัน ต่างคนต่างอยู่หรือกลั่นแกล้งกัน ส่งผลให้งานส่วนรวมขององค์การหรือกลุ่มสังคมนั้นๆ เสียหาย บุคคลในกลุ่มขาดความสุขและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้นๆ ไม่มากก็น้อยจึงทำให้มนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญต่อองค์การเป็นอย่างมาก
2. กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะที่ดีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กลุ่มงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะที่ดี คือ
1. มีการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตย คือ บุคคลส่วนใหญ่มักต้องการมีส่วนร่วมในกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกซึ่งการทำงานร่วมกันแบบประชาธิปไตยจะสนองความต้องการนี้ได้ โดยที่ทุกคนต่างมีสิทธิมีเสียงในการแสดงวามคิดเห็นต่องาน รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และเคารพในมติของเสียงส่วนใหญ่
2. มีความไว้วางใจและเชื่อในความสามารถซึ่งกันและกัน คือ บุคคลทั่วไปมักต้องการความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น ดังนั้นการทำงานร่วมกันทุกคนต้องให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ให้เกียรติและเชื่อถือในความสามารถของเพื่อนร่วมงาน ไม่เข้าไปก้าวกายถ้าเขาไม่ขอความช่วยเหลือ ถ้าก้าวกายเกินหน้าที่มักก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งสร้างผลเสียต่องานมากกว่าผลดี
3. มีการติดต่อสื่อสารที่ดีในหน่วยงาน คือ มนุษย์ทุกคนมักต้องการความชัดเจนในงานและต้องการความสบายใจในการอยู่ร่วมกันด้วย ซึ่งการติดต่อสื่อสารที่ดีนอกจากช่วยสร้างความเข้าใจในงานแล้วยังช่วยเริมสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกันด้วย ในกลุ่มทำงานที่ดีนั้นมักใช้การสื่อสารสองทางหรือหลายทางมากกว่าการสื่อสารทางเดียว คือให้มีการตอบโต้ อภิปราย แสดงความคิดเห็น หรือซักถามข้อสงสัยร่วมกันมากกว่าที่จะรับคำสั่งหรือรับฟังความคิดอยู่ข้างเดียว ขณะเดียวกันในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียนก็ให้เป็นไปตามทางสร้างสรรค์ให้เกิดผลดีต่อกันและกัน
4. มีการช่วยเหลือกันและกันในขอบเขตที่เหมาะสม คือ ในการทำงานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ถ้าทุกคนพร้อมต่อการเป็นผู้ให้ย่อมทำให้เกิดความสุขในกลุ่มได้ การช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานจัดว่าเป็นการให้อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเป็นมิตร พึงพอใจและก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต้ทั้งนี้ต้องเป็นการให้ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น ให้เมื่ออีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือให้โดยไม่มีผลกระทบในทางเสียหายในงานส่วนร่วม และไม่ว่าจะอยู่ในสถานะของผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่ระดับเดียวกัน หรืผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ย่อมนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันโดยราบรื่นสงบสุข
5. มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ คือ การทำงานหลายคนนั้น ถ้ามีทีมงาน (team work) ที่เหมาะสมมีระบบงานที่ดี มีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนรู้บทบาทหน้าที่ และมีขอบข่ายงานที่กำหนดเด่นชัด การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีขั้นตอน และมีการร่วมมือประสานงานกันเป็นอย่างดีมักส่งผลให้งานสำเร็จ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันด้วย
6. มีการร่วมมือที่ดี คือ เป็นพฤติกรรมของกลุ่มที่มีลักษณะไปในทางเดียวกัน แต่ละบุคคลจะได้รับความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายก็ต่อเมื่อได้รับความสำเร็จ ดังนั้นจึงจัดได้ว่าในการทำงานร่วมกันนั้น ถ้าทำให้ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อให้กลุ่มทำงานสำเร็จก็แสดงว่ากลุ่มนั้นมีความสามัคคีและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับของนักจิตวิทยามากกว่าการแข่งขัน เนื่องจากในกระบวนการของการแข่งขันนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งได้อีกฝ่ายหนึ่งจะเสียแม้บางครั้งการแข่งขันอาจทำให้ผลงานของกลุ่มดีขึ้นแต่ในด้านของสัมพันธภาพมักเสียไป
7. ผู้มาร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะทีเอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ทีดี คือ ในการทำงานร่วมกัน ถ้าผู้ร่วมกลุ่มทำงานมีลักษณะบางประการที่เอื้อต่อการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีลักษณะส่วนตัวที่พร้อมอยู่แล้วก็ย่อมส่งผลให้การทำงานกลุ่มเป็นไปด้วยไมตรีอันดี เช่น สมาชิกกลุ่มมีความสมัครใจในการทำงานนั้นรู้สึกมีส่วนร่วมในกลุ่ม รู้วิธีการดำเนินงานกลุ่ม รู้นโยบายและเป้าหมายของงาน มีความเป็นกันเอง คบคนง่าย มีลักษณะให้กำลังใจผู้อื่น ด้วยลักษณะของสมาชิกกลุ่มดังกล่าวนี้ มักส่งผลให้เกิดมนุษยสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน
3. แนวทางในการพัฒนาตนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน ควรปฏิบัติตนอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
1) การสร้างอัตตมโนทัศน์ ที่ตรงตามความเป็นจริง
2) การมองตนเองและผู้อื่นในทางที่ดี
3) การปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางที่ดี

3.1) ให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน
3.2) ยิ้มแย้ม
3.3) แสดงการจำได้ เช่น จำชื่อ
3.4) เป็นคู่สนทนาที่ดี
3.5) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3.6) แสดงการยอมรับนับถือผู้อื่นตามสถานภาพ
3.7) แสดงความมีน้ำใจ ซึ่งการมีน้ำใจต่อผู้อื่น แสดงได้หลายแนวทาง เช่น การเป็นผู้ให้ ให้ความรัก ให้ความห่วงใย แบ่งปัน ช่วยเหลือ
3.8) แสดงความชื่นชมยินดี เนื่องในโอกาสต่างๆ

4) การพัฒนาการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น
- ด้านการติดต่อสื่อสาร เช่น การให้ความสนใจเพื่อนร่วมงาน การแสดงการจำได้ การเป็นคู่สนทนาที่ดี
4.1) สนใจ เอาใจใส่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ติดต่อสื่อสารด้วย
4.2) หลีกเลี่ยงการพูดพิงถึง”คน” เมื่อสนทนาเรื่องภายนอกตัว
4.3) ตั้งคำถามไม่เจาะจง - การตั้งคำถามเพื่อให้คู่สนทนาตอบโดยประเด็นคำถามพุ่งไปสู่คู่สนทนารู้สึกว่าเขากำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากอีกฝ่ายหนึ่ง
4.4) ใช้คำถามเชิงอธิบายแทนการสั่งสอนหรือแนะนำ
4.5) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่สองเมื่อพูดถึงสิ่งที่ดี
4.6) ใช้คำว่า”เรา” เมื่อต้องการให้เกิดความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นพวก
4.7) ใช้ประโยคที่เริ่มต้นด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่ง
4.8) ใช้สรรพนามบุรุษที่สอง-บุรุษที่หนึ่ง หรือ คุณ-ฉัน เมื่อต้องการแสดงความใกล้ชิด
4.9) ใช้คำว่า อย่างไร เมื่อต้องการข้อเท็จจริง
4.10) ใช้คำว่า ทำไม ให้เหมาะสมตามจุดประสงค์
4.11) ใช้วิธีสะท้อนความรู้สึกสะท้อนเนื้อหาคำพูดของคู่สนทนาเพื่อแสดงความเข้าใจ
4.12) ใช้คำพูดเปิดเผยตนเองเพื่อแสดงความจริงใจและพร้อมเป็นมิตร

4. การว่างตนตามสถานะและบทบาทในองค์การ แบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง จงอธิบาย
แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
1. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา
โดยผู้บังคับบัญชาไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ต้องถือว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติงานและต้องเป็นผู้รับผิดชอบในงานที่ทำเหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องให้ความสำคัญกับผู้บังคับบัญชา ให้ความร่วมมือ และเชื่อฟังในสิ่งที่ชอบด้วยเหตุและบทบาทหน้าที่โดยปฏิบัติดังนี้
- ยกย่องผู้บังคับบัญชาตามควรแก่ฐานะ
- รับคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้บังคับบัญชาด้วยความสงบห้ามแสดงอารมณ์หรือโต้เถียง
- ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจและเต็มความสามารถ
- ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือคำสั่งขององค์กร
- เสนอข้อคิดเห็นโดยสุภาพอ่อนน้อมเมื่อผู้บังคับบัญชาถามความเห็น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิม
- ห้ามบ่นเรื่องงานที่ยากลำบากเพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือแสดงถึงการขาดความอดทน
- ห้ามนินทาผู้บังคับบัญชาลับหลังถ้ามีปัญหาเรื่องงานเกิดขึ้น
- ห้ามการตอบรับหรือปฏิเสธตลอดเวลาควรให้เป็นไปด้วยเหตุ
- หลีกเลี่ยงการทำตัวแข็งต่อผู้บังคับบัญชา การเอาชนะหรือทำตัวเด่นกว่าผู้บังคับบัญชา
2. การวางตนในการทำงานกับผู้ร่วมงานหรือผู้อยู่ในระดับเดียวกัน
การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน มักมีอิทธิพลต่อกันและกันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมีบทบาทสูงต่อมนุษยสัมพันธ์ในองค์การดังนั้นการวางตนในการทำงานร่วมกับผู้อยู่ในระดับเดียวกันจึงต้องวางตนโดยเป็นผู้ให้มากที่สุดและปฏิบัติต่อกันมากที่สุด เช่น
- มองเพื่อนร่วมงานในแง่ดี ให้ความจริงใจ ให้ความช่วยเหลือ
- ห้ามผลักภาระของตนไปให้เพื่อนร่วมงาน
- เมื่อมีปัญหาต้องพดคุยกัน
- หาโอกาสพบปะสังสรรค์ร่วมงานตามสมควร
- ห้ามแสดงอารมณ์เมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้น
- ห้ามทำตนเหนือเพื่อนร่วมงานหรือดูหมิ่นเหยียดหยาม
- ให้อภัย ให้โอกาสเมื่อเพื่อนร่วมงานปฏิบัติผิดพลาด
3. การวางตนในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา
ผลงานของลูกน้องทุกคนทั้งหมดเมื่อมาร่วมกันคือผลงานของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาจึงควรให้ความสำคัญ เพื่อให้ผลงานดี และมีบรรยากาศของความสัมพันธ์อันดีอีกด้วย
- เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยการส่งไปอบรม สัมมนา ค้นคว้าวิจัย
- ให้ความยุติธรรมแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการยกย่องตนเองว่าสูงกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการจับผิดผู้ใต้บังคับบัญชา
- หลีกเลี่ยงการแสดงความยากได้ หรือการเบียดเบียนผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งมีรายได้น้อยกว่าอยู่แล้ว
- รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อให้ทุกคนได้มาย่างไม่ลำบากและเป็นสุข
งานที่2
การพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ เพิ่มพลังสมองเป็น 10 เท่า
จากผลการทดลองพบว่า 90% ของกำลังสมอง หมดไปกับการคิดเรื่องที่ไม่ก่อประโยชน์ และมักจะใส่ความคิดผิด ๆ ให้สมองของตัวเอง ดั่งเช่นการทำงานของคอมพิวเตอร์ถ้าเราใส่ software ที่ผิด ผลการคำนวณก็ออกมาผิด
ถ้าจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ ในทางทฤษฎี พบว่า " สมองมนุษย์เก็บข้อมูลได้เยอะกว่าและสามารถประมวลข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนได้รวดเร็วดีกว่าคอมพิวเตอร์ " ถ้าสมมติฐานดังกล่าวเป็นจริง เราก็น่าจะเรียนรู้อะไรได้เร็ว มีความจำเป็นเลิศ แต่ในชีวิตจริงทำไมกลับตรงกันข้าม หรือเป็นเพราะว่า เราไม่รู้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ช้า และปัจจัยอะไรที่ทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว ?
ทำไมเราจึงเรียนรู้ช้า? เพราะขาดความสามารถในการจดจ่อความคิดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเวลานานได้ และไม่สามารถควบคุมความคิดให้คิดในทางที่สร้างสรรค์ได้ เนื่องจาก คนส่วนใหญ่จะปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกชักจูงความคิดให้โดดไปมา คิดเรื่องในอดีตหรือเรื่องที่ก่อความทุกข์ให้กับตนเอง และมักปล่อยให้ความคิดในทางทำลายตัวเองเข้ามาบั่นทอนประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ทำให้เรียนรู้ช้า, คิดไม่ชัดเจนคิดไม่ทัน ดังนั้น ตราบใดที่เรายังไม่สามารถตั้งใจคิดได้ คุณก็จะไม่พบคำตอบเมื่อคุณพบคำตอบ คุณอาจคันพบตัวเองก็ได้
ทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้เร็ว?
1. เปลี่ยนความคิดจาก Negative >>> Positive
- ทำงานอย่างมีเป้าหมาย : ถ้าอยากฉลาดแบบนักคิดระดับโลก ก็ต้องคิดเหมือนพวกเขา คือ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเป้าหมาย เช่น ก่อนจะอ่านหนังสือก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังจะอ่านอะไร อ่านไปเพื่ออะไร เป็นต้น
- ต้องรู้ระบบความคิดของเราก่อนว่าความคิดไหนทำให้เราคิดในทางลบ เช่น เมื่อเราเห็นคนอื่นทำไม่ได้เราจึงคิดว่าเราทำไม่ได้ , เชื่อว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะความจำไม่ดี เป็นต้น
- ตัดความคิดในทางNegativeทิ้งแล้วใส่ความคิด Positive ลงไปแทนที่ เช่น คนอื่นทำไม่ได้ช่างเขา เราทำได้ก็แล้วกัน ,ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ เป็นต้น
2. หัดผ่อนคลายทั้งกายและใจ จากการทดลองพบว่า คนเราจะเรียนรู้ได้เร็วเมื่ออยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ดังนั้น เราควรรู้จักผ่อนคลายจิตใจบ้าง เช่น ฝึกโยคะ ฝึกสมาธิ หรือ การสวดมนต์ อาจกล่าวได้ว่า การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ช่วยยับยั้งความคิด Negative ได้ชั่วคราว
3. พยายามสังเกตว่าตัวเองเรียนรู้ได้ดีจากสื่อใด ถึงแม้สมองจะมีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนเรียนรู้ได้เร็วจากพูดคุยกับผู้อื่น, การอ่าน, ต้องคิดหา logic ด้วยตัวเอง, ต้องเห็นด้วยตา--ฟังไม่เข้าใจต้องเขียนหรือดูภาพ หรือบางคนต้องฟังอย่างเดียว ดังนั้น ถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้ดีขึ้นจำเป็นต้องสำรวจตัวเองว่า
• รูปแบบการเรียนรู้แบบใดทำให้เราเรียนรู้ได้เร็ว?
• ในช่วงเวลาใดของวันที่เรามีสมาธิสูงสุด--กระตือรือร้นสูงสุด?
4. พยายามสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับสมอง จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลและดึงข้อมูลมาใช้ได้อย่างประสิทธิภาพ อาจใช้การตั้งคำถาม, การเปรียบเทียบข้อมูล เพราะ สูงสุดของการเรียนรู้ คือ การนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้เรามีความสดชื่น กระตือรือร้น แล้วเมื่อเราออกกำลังกายนานติดต่อกัน 12 - 20 นาที จะส่งผลให้สมอง function ดียิ่งขึ้น ทำให้สมองทั้ง 3 ส่วน คือ ส่วนซ้าย ส่วนขวา และสมองส่วนกลาง ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างสะดวก ทำให้เราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะสามารถใช้สมองทั้ง 3 ส่วนได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว
6. ควรเข้าใจการทำงานของสมอง การทำงานของสมองในส่วนความจำจะทำงานได้ดีในเวลาที่ต่างกัน ดังนี้• ความจำระยะสั้น >>> ช่วงเช้า• ความจำระยะระยะยาว >>> ช่วงบ่าย• จำเกี่ยวกับตัวเลข >>> ก่อนนอนทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้?ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการพูดคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างความจำ
ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ ภายในเวลา 1 / 1000 วินาที และโดยรู้ตัวหรือไม่ ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองเราครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการ " การลืม "
ต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์รมณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10 %จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเราคำถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้ ?
1. จดบันทึก (take note) : เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล
2. สร้างภาพ : เพื่อช่วยให้มีความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร• ขนาดใหญ่กว่าความจริง• ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง• เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น
2. การอ่าน
Information is power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรกคือ ถามตัวเองก่อนกว่า " เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้ "
เทคนิคในการอ่านเร็ว
1. ควรอ่านไม่มีเสียงในใจ
2. การอ่านจับใจความสำคัญ : เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย
3. ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่านคือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล สามารถวัดได้จาก เช่น เป็นข้อมูลที่ up date หรือไม่, สำนักพิมพ์อะไร เป็นต้น
3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้
1. ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่ความน่าเชื่อถือ: น่าเชื่อถือ แต่ไม่ชอบพูดเทคนิค: ตั้งคำถาม หรือพูดยั่วยุแต่สุภาพ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ความคิด เพื่อกระตุ้นให้เขาพูด เป็นต้นน่าเชื่อถือ แต่พูดไม่ตรงประเด็น ให้ถามอย่างสุภาพว่า ประเด็นที่กำลังพูดคืออะไร? ช่วยสรุปให้ฟังสัก 2 ประโยคได้มั้ย? ถ้าไม่น่าเชื่อถือให้เราฟังตามมารยาทสังคม
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า " ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร "
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่ หรือไม่ใช่
4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์ โดยมีระบบความคิดทั้งหมด 6 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. Think objectively คิดอย่างเป็นกลาง--เห็นความจริงตรงตามความจริง
2. Think productively คิด ตัดสินใจโดยมองที่ "ผล" เมื่อเจอสถานการณ์หนึ่ง แล้วสามารถคิดพิเคราะห์ถึงผลทั้งด้านบวกและลบที่จะตามมา
3. Think positively คิดหาทางแก้ปัญหาเมื่อพบอุปสรรคก็ยังสามารถคิดหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
4. Think creatively ความคิดที่สร้างเหตุและปัจจัยอันใหม่ เพื่อสร้างอนาคตของตัวเองความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ที่เคยชินกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจสร้างได้โดยการถามตัวเองว่า "ทำอย่างไรจึงจะทำงานของเราได้ดีกว่าเดิม?"
5. Think intuitively เป็นความคิดที่ได้มาจากการถามความรู้สึกภายใน
6. Think about the mode คิดเกี่ยวกับความคิดตัวเอง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดตัวเองว่าคิดเป็นระบบหรือไม่ บิดเบือนความจริงหรือไม่ คิดด้วยอารมณ์รึเปล่า: นักคิดระดับโลกต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์**ความสงบของจิตไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องหยุดการทำงานทุกสิ่งเข้าป่า หาที่สงบเพื่อที่จะได้ปฏิบัติ ความสงบที่แท้จริงนี้เราควรหาพบในกิจกรรมการงานต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา**

งานที่ 1

งานที่ 1
1. ควรทำตัวอย่างไรในการแนะนำตัว
คุณควรรอให้อนุญาติให้นั่งเสียก่อนแล้วจึงนั่งลง หากได้รับคำถามว่าดื่มชา กาแฟมั้ยก็ควรตอบรับเพื่อช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น ที่สำคัญคืออย่าไปสาย ควรตรงต่อเวลาและให้เวลากับการแนะนำตัวเองอย่างไม่จำกัดเวลาแม้ว่าคุณอาจพลาดกับรถเที่ยวต่อไปก็ตาม เพราะหากคุณบอกว่า "ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ" นั่นอาจหมายถึงว่าคุณต้องลาจากชั่วนิรันดร์
2. พนักงานใหม่ควรวางตัวอย่างไร
หากคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีกับผู้ร่วมงานในที่ทำงานใหม่ก็อย่าเพิ่งกังวล คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองทันที แรกๆ คุณควรศึกษากฎระเบียบเสียก่อนและสังเกตุขนบธรรมเนียมและมารยาทในที่ทำงานใหม่เพราะคุณอาจทำงานได้ดีมากแต่อาจทำผิดสังคมในที่ทำงานได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเลี้ยงฉลองอะไรในวันแรก แต่ให้ผ่านช่วงทดลองงานไปก่อน
3. ทำอย่างไรดีกับเพื่อนร่วมงาน
คุณจัดการกับโต๊ะทำงานของตัวเองได้ แต่ไม่ควรยุ่งกับโต๊ะทำงานของคนอื่น และไม่ควรเอาของใช้ เช่น กระเป๋าหรือสิ่งของไปวางในพื้นที่ทำงานแม้ว่าคุณอยากจะโชว์ให้เพื่อนร่วมงานเห็นก็ตาม นอกจากนี้ความเครียดจะเกิดขึ้นถ้าคุณเอาตัวไปเบียดใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานเพราะมนุษย์ส่วนมากมักมีความรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ห่างกันหนึ่งช่วงแขน กฎในออฟฟิศอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณจะไอหรือจามก็ควรออกนอกห้อง
4. หลีกหนีเพื่อนร่วมงานจอมเมาท์อย่างไรดี
ขณะที่คุณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่แล้วเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเข้ามาป้วนเปี้ยนในห้องคุณและคอยจับผิด ให้คุณถามว่า มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ หรือบอกว่า เดี๋ยวคุณจะตามไป หรือบอกไปว่าคุณกำลังสะสางงานอย่างเร่งด่วนอยู่ หากคุณเห็นว่าไม่เหมาะที่จะทำตัวสนิทสนมด้วยก็ให้รักษาระยะห่างไว้
5. จำเป็นต้องไปสรวลเสเฮฮาหลังเลิกงานด้วยมั้ย
หากเพื่อนร่วมงานชวนคุณไปดื่มหรือเข้าร้านอาหารหลังเลิกงาน แต่คุณไปไม่ได้ก็ควรกล่าวคำขอโทษ เช่น "ขอบคุณที่ชวนนะคะ แต่บังเอิญติดธุระ" และหากคุณไปด้วยก็ควรอยู่ด้วยอย่างน้อยที่สุด 15นาที
6. ทำอย่างไรดีเมื่อถูกจับได้ว่านินทาคนอื่น
คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
คุณกำลังนินทาเรื่องไม่ดีของผู้ร่วมงานคนหนึ่งอยู่โดยที่เธอยืนอยู่ข้างหลังคุณ ดังนั้นคุณจึงควรกล่าวคำขอโทษและบอกว่า คุณไม่ได้หมายถึงอย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของคุณด้วยการช่วยเหลือเธอ เปิดเผยและซื่อสัตย์
ในลิฟต์ บางคนกลัวการอยู่ในที่แคบ เช่น ในลิฟต์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กลัวการอยู่ในที่แคบและเจอผู้ร่วมงานในลิฟต์ก็ควรทักทายแล้วจะหันหน้าไปทางประตูลิฟต์ก็ไม่มีใครว่าและควรถามคนอื่นด้วยว่าอยู่ชั้นไหนแล้วกดลิฟต์ให้ด้วย
8. ไม่ควรนำโทรศัพท์มือถือเข้าที่ประชุม
เพราะมันมักรบกวนห้องประชุม หากคุณจำเป็นต้องรอโทรศัพท์สำคัญก็ให้บอกกับทางโน้นว่าในช่วงเวลานี้ คุณติดประชุมไม่อาจรับโทรศัพท์ได้ หรือระหว่างพักการประชุมก็โทรศัพท์ไปหาได้ หากคุณตั้งสัญญาณสั่นสะเทือนไว้ ก็ให้ออกไปพูดนอกห้องประชุม
9.การโต้ตอบอีเม
ควรตรวจเช็กและตอบอีเมลวันละอย่างน้อยที่สุด 2 รอบ ตอนเช้า กลางวันและที่ดีที่สุดคือตอนเย็น หากคุณไม่สามารถตอบได้ทันที ก็ให้ส่งข้อความสั้นๆ ว่าคุณไม่อยู่ 2-3 วัน และบอกด้วยว่าคุณจะอยู่ในออฟฟิศอีกครั้งเมื่อไหร่ นอกจากนี้ก็ควรเขียนอีเมลอย่างระมัดระว้ง ถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด และบันทึกไว้อย่างมีระเบียบเพื่อที่คุณจะได้หาได้ง่ายเมื่อต้องการค้นหา ไม่ควรใช้คำย่อ มีคำขึ้นต้นและลงท้ายอย่างมีมารยาท
หัวข้อ “การพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ” เช่นด้านบุคคลิกภาพและการฝึกอบรมสมองสู่ความเป็นอัจฉริยะ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปลาทองพันธ์หัวสิงห์



ปลาทองหัวสิงห์



ปลาทองหัวสิงห์เป็นปลาที่มีรูปร่างสวยงามโดยเฉพาะวุ้นที่หัวของมัน ปลาทองหัวสิงห์มีชื่อสามัญว่า
ปลาหัวสิงห์ ปลาสิงห์หน้ายักษ์ ปลาสิงห์ตาปิด ที่ได้ชื่อแบบนี้เพราะว่า ปลาหัวสิงห์บางตัวจะมีวุ้นที่ส่วนหัว
คล้ายกับยักษ์ หรือบางตัวก็จะมีวุ้นมากจนปิดตาของมันเอง ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์มีอยู่ว่า Shishigashira
ลักษณะทั่วไปของปลาหัวสิงห์มีดังนี้
1. ไม่มีครีบหลัง

2. ลำตัวกลม
3.สีบนตัวออกแดงอมส้ม
4. หลังโค้งตั้งแต่หัวจรดส่วนหาง
5. มีโหนกแก้มและวุ้นบริเวณส่วนหัว
6. ครีบหางตั้งขึ้นแต่ส่วนปลายควรงุ้มลง
7. มีครีบทวาร 2 ครีบ

เราสามารถสังเกตรูปร่างลักษณะเพื่อแยกว่าเป็นเพศผู้หรือเพศเมียได้ดังนี้
จุดสังเกต
ตัวผู้
1.ครีบอก มีลักษณะขาวใสเรียงกันป็นระเบียบ
2.บริเวณท้อง ท้องแฟบ
3.ลำตัว ยาวเรียว
4.แก้ม สัมผัสแล้วสากมือ
5.ทวาร ดูสีแห้งออกคล้ำ
ตัวเมีย
1. ครีบอก ไม่มีจุด
2. บริเวณท้อง ใหญ่และนุ่ม
3.ลำตัว สั้นกลม
4. แก้ม ลื่นมือกว่าตัวผู้
5. ทวาร สีจะแดงเข้มเมื่อถึงฤดูวางไข่

ประเภทของปลาทองหัวสิงห์

ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese Lionhead)

ปลาทองสิงห์จีนเป็นปลาทองหัวสิงห์ประเภทแรกที่จะพูดถึง เป็นสายพันธุ์ปลาทองที่ถูกพัฒนามานานกว่า 600 ปี โดยประเทศจีนเป็นประเภทแรกที่สามารถเพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้ ชาวตะวันตกเรียกปลาทองสายพันธุ์นี้ว่า Lionhead ส่วนในประเทศไทยเรียกว่า ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese Lionhead) ถ้าพิจารณาจากลักษณะรูปร่างจะเห็นได้ว่า ปลาทองสายพันธุ์นี้ จะมีลักษณะหัวที่มีวุ้นฟูขนาดใหญ่ โดยจะเป็นได้ทั้งเม็ดละเอียด หรือเม็ดใหญ่สม่ำเสมอกัน (ถ้าจะให้ดีควรเป็นเม็ดละเอียด) มองดูคล้ายหัวสิงโต ลำตัว รูปทรง สันหลังจะค่อนข้างตรง หรือโค้งราดลงเล็กน้อย ลำตัวหนาด้านซ้ายและขวาเสมอกัน และถ้ามองจากด้านบน จะมองเห็นสันหลังที่ตรง ครีบหางใหญ่ หางลดปลายเสมอแนวเดียวกับสันหลัง คือถ้าสังเกตุง่ายๆ ก็คือ หัวโต หางลู่ นั่นเอง สีมีได้ทุกสีทั้ง ส้ม แดง ห้าสี (ส้ม ดำ ขาว น้ำเงิน) เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร ( ~ 6 นิ้ว) แต่บางคนเคยพบเห็นตัวที่มีขนาดใหญ่ถึง 25 เซนติเมตร ( ~ 9.5 นิ้ว) โดยมีอาp6เฉลี่ยประมาณ 5-7 ปี แล้วแต่การเลี้ยงดู
ถ้าพิจารณาความแตกต่างระหว่างสิงห์จีน กับสิงห์ญี่ปุ่น ลักษณะโดยทั่วไปส่วนใหญ่นั้นจะคล้ายๆกัน แต่ลำตัวของสิงห์จีนนั้นค่อนข้างยาวไม่สั้นกลมอย่างสิงห์ญี่ปุ่น และส่วนหลังก็จะโค้งน้อยกว่าสิงห์ญี่ปุ่น หางใหญ่ยาวกว่า และมีลักษณะที่ลู่ไปด้านหลัง ส่วนวุ้นบนหัวจะมีมากกว่าสิงห์ญี่ปุ่น โดยขึ้นปกคลุมส่วนหัวทั้งหมด สีลำตัวและครีบ มักจะมีสีอ่อนกว่าสิงห์ญี่ปุ่น

ปลาทองสิงห์ดำตามิด (Black Lionhead, Siamese Lionhead)





ปลาทองสิงห์ดำตามิดเป็นปลาที่ถูกพัฒนา และคัดพันธุ์ได้ในประเทศไทย มีลักษณะเด่นตรงที่ความดำสนิทของสี ลักษณะของหัวมีทั้งแบบวุ้นเหมือนสิงห์จีน วุ้นฟู กับวุ้นหัวสิงห์ญี่ปุ่น หรือวุ้นแบบรันชู มีลักษณะวุ้นแน่นเหมือนมีเขี้ยวยื่นออกมา วุ้นจะขึ้นคลุมทุกๆ ส่วนบนหัวแม้กระทั่งส่วนของตาจะต้องปิดตาของปลาจนมิด ครีบหางสั้นมีทั้ง หางสาม หางสี่ ปลายหางเสมอแนวแนวกับสันหลังของปลา ทุกส่วนของลำตัวต้องดำสนิท ยิ่งดำยิ่งดี ครีบทุกครีบควรมีความเสมอกัน ไม่พับหรือบิดงอ ขอแนะนำในการเลือกซื้อปลาตอนอายุน้อย ต้องเลือกปลาที่มีใต้ท้องสีดำสนิทถึงจะแน่ใจได้ว่าตอนโตมาสีจะไม่ลอก


ปลาทองสิงห์ลูกโป่ง (Bubble Eye Goldfish)





ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ บริเวณใต้ตาจะมีถุงโป่งออกมาลักษณะคล้ายลูกโป่งมีน้ำใสอยู่ด้านใน และถือกันว่าถุงลูกโป่งยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งเป็น ลักษณะที่ดี โดยที่ถุงทั้งสองข้างจะต้องมีขนาดที่เท่ากัน ลำตัวยาว ด้านซ้ายขวาเสมอกัน หลังตรงหรือโค้งลาดเล็กน้อย ครีบหางยาว หางราด ปลายหางเสมอแนวเดียวหรือสูงกว่าสันหลัง สีเข้มสดใสมีทุกสี โดยสีที่พบมาก ได้แก่ สีแดง ส้ม หรือสีผสม ระหว่างสีแดงและสีขาว หรือส้มและขาว จัดเป็นปลาที่เลี้ยงยากและเพาะพันธุ์ได้ยาก ขนาดโตเต็มที่ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร (~ 9 นิ้ว)

ปลาทองสิงห์ตากลับ




ปลาทองสิงห์ตากลับ เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่าโชเตนงัน (Chotengan) ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาว หรือตามุ่งสวรรค์ ญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า เดเมรันชู (Deme- ranchu) ลักษณะเด่นคือ มีตาหงายกลับขึ้นข้างบน ผิดจากปลาทองชนิดอื่นๆ ตาใหญ่สดใสทั้งสองข้าง ส่วนหัวไม่มีวุ้นหรือมีเคลือบเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรง หรือโค้งลาดเล็กน้อย เกร็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ ครีบหางยาว ปลายหางเสมอ แนวเดียวกับสันหลัง หรือสูงกว่า สีเข้มสดใส มีทุกสี ครีบต่างๆ เสมอกันทั้งซ้าย และขวา ไม่พับหรือบิดงอ



วิธีเลี้ยงปลาหัวสิงห์
ก่อนที่จะเลี้ยงอะไรก็ต้องมาศึกษาความเป็นอยู่ของมันก่อนเพราะว่าปลามีชีวิตไม่เหมือนกับทามาก๊อตที่ตาย ไปก็เริ่มเล่นใหม่ได้ ถ้าเลี้ยงไม่ดีมันก็จะตายเป็นบาปเปล่าๆ มาดูวิธีเลี้ยงกันเลยละกัน
การให้อาหาร
ต้องให้พอประมาณเวลาที่ให้ก็ควรเป็นเวลาสายประมาณ 9.00 น. อาหารที่ให้ปลาควรให้กินให้หมด ภายในเวลาประมาณ 10 นาที และไม่ควรให้อาหารพร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้ปลาป่วยได้ อาหารที่เป็น
อาหารสำเร็จรูป ก่อนที่จะให้ปลาควรทำให้ชื้นก่อนโดยการแช่หรือพรมน้ำให้พอนิ่ม หากไม่ทำเช่นนี้
อาหารมีความแข็งจะทำให้ปลาเจ็บปาก คงเคยเห็นเวลาที่ปลากินอาหารที่ให้เข้าไปแล้วพ้นกลับออกมาบ้าง
อุณหภูมิ
อุณหภูมิที่ดีที่สุดในการเลี้ยงอยู่ที่ไม่เกิน 28 องศาเซลเซียส จะทำให้ปลามีการเจริญเติบโตได้ดีกว่า
อุณหภูมิช่วงอื่นๆ เพราะปลาจะกินอาหารได้มาก
อากาศ
อากาศเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยอีกอย่างหนึ่งในการเลี้ยงปลาทุกชนิดรวมทั้งปลาหัวสิงห์ด้วย
ควรจะมีเครื่องเพิ่มอากาศซึ่งหาซื้อได้ทั่วๆไป และไม่ควรปลูกไม้น้ำเยอะจนเกินไปเพราะไม้น้ำนั้นจะแย่ง
อากาศกับปลาที่เลี้ยงไว้ ถึงแม้ว่าไม้น้ำจะมีประโยชน์บ้างก็ตาม
น้ำ
เมื่อปลาอยู่ในน้ำดังนั้นน้ำที่เลี้ยงปลาก็ต้องเป็นน้ำที่สะอาดไม่มีเชื้อโรค น้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำประปา
เพราะได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรคต่างๆมาแล้ว แต่การเตรียมนั้นต้องรองน้ำทิ้งไว้ 2 - 3 วันหรือมากกว่า
เพื่อให้คลอรีนที่อยู่ในน้ำจางลง ไม่ควรใช้น้ำที่ลองจากก๊อกโดยตรงเพราะคลอรีนจะทำอันตรายต่อปลาได้

















ที่มา : WWW.GOOGLE.COM